Saturday, July 12, 2014

กระเป๋าสตางค์หนึ่งใบ กับนิสัยของคนมั่งคั่ง

วิธีใช้กระเป๋าสตางค์ให้เรียกทรัพย์ ความลับที่รู้กันเฉพาะในหมู่เศรษฐีชาวญี่ปุ่น ! 


     ชาวญี่ปุ่นเป็นชาติที่มีความปราณีตและพิถีพิถันในการใช้ชีวิต ผมชอบอ่านบทความหรือหนังสือที่บอกเล่าวิถีชีวิตของชาวญี่ปุ่น หรือหนังญี่ปุ่นเองก็ตาม ล้วนมีสเน่ห์แบบเอเชียที่น่าติดตาม

     ล่าสุด เมื่อวานผมได้ซื้อหนังสือมาอ่านเล่มหนึ่งชื่อว่า "ชีวิตมั่งคั่ง ด้วยกระเป๋าสตางค์ใบเดียว" จากชื่อที่เห็นผ่านตา ค่อนข้างแน่ใจว่าต้องเป็นของผู้เขียนชาวเอเชีย (ไม่เกาหลีก็ญี่ปุ่น) เพราะสังเกตุดูว่าหนังสือแนวคิดหรือหนังสือแนว ฮาว-ทู (How to) ของฝั่งฝรั่ง ชื่อจะไม่ใช่แนวนี้ จะออกแนวๆ 8 ข้อสู่ชีวิตที่ดี , 15 นิสัยเปลี่ยนแปลงทุกสิ่ง  

     เนื้อหาข้างใน หลังจากอ่านแล้วน่าสนใจและมีประโยชน์มาก อ่านรวดเดียวจบ ขอสรุปคร่าวๆเป็น blog ครั้งนี้ครับ

     ตัวหนังสือว่าด้วยผู้เขียนชาวญี่ปุ่นชื่อ คะเมะดะ จุนอิชิโร เมื่อก่อนเขาเป็นพนักงานบริษัทในญี่ปุ่นและได้ออกมาทำอาชีพผู้ตรวจสอบบัญชีแบบอิสระ ซึ่งชีวิตผู้ตรวจสอบบัญชีของเขามีโอกาสพบปะผู้คนมากมาย โดยเฉพาะคนมั่งคั่งซึ่งเขาสังเกตว่า คนมั่งคั่งกับคนทั่วไปมีกระเป๋าสตางค์และลักษณะการใช้เงินที่ต่างกัน ซึ่งเขาคิดว่าน่าจะมีปัจจัยอะไรบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับจำนวนเงินในกระเป๋า (ประกอบกับภรรยาของเขาซื้อกระเป๋าสตางค์ใหม่มาให้พอดี เป็นกระเป๋าผู้ชายทรงยาวยี่ห้อหลุยส์ วิตตอง หนังไทก้า) ซึ่งจากประการณ์ของผู้เขียน ได้เรียบเรียงออกมาดังนี้

1.หากคุณเป็นคนที่เก็บเงินไม่อยู่ ให้ลองเริ่มต้นจากการลองเปลี่ยนกระเป๋าสตางค์
     กระเป๋าสตางค์เป็นสิ่งที่สะท้อนรูปแบบการดำเนินชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นสิ่งที่แสดงท่าทีของคนนั้นที่มีต่อเงิน กระเป๋าสตางค์ที่ดีทำให้ท่าทีที่คนมีต่อเงินเปลี่ยนไปมากมาย (อันนี้เจ้าของบล๊อกสัมผัสเองกับตัว ตอนซื้อกระเป๋าสตางค์ใหม่เมื่อต้นปี) สิ่งที่ผู้เขียนสังเกตได้คือ 

"กระเป๋าสตางค์ของเจ้าของบริษัททั้งหลายที่ทำเงินได้อย่างมั่นคงมานานหลายปี 
ล้วนใช้กระเป๋าสตางค์สวย และส่วนมากจะเป็นกระเป๋าทรงยาว"

2.กฏ 200 เท่า ในการเพิ่มรายได้จากกระเป๋าสตางค์

ราคากระเป๋าสตางค์ x 200 = รายได้ประจำปีของเจ้าของกระเป๋าสตางค์

หากใช้กระเป๋าสตางค์ราคา 20,000  รายได้ต่อปีจะเท่ากับ 4,000,000 ต่อปี (ราว 300,000/เดือน)
หากใช้กระเป๋าสตางค์ราคา 8,000  รายได้ต่อปีจะเท่ากับ 1,600,000 ต่อปี (ราว 130,000/เดือน)
หากใช้กระเป๋าสตางค์ราคา 3,000  รายได้ต่อปีจะเท่ากับ 600,000 ต่อปี (ราว 50,000/เดือน)

     กฏข้างต้น ดูเผินๆอาจจะไม่ค่อยสมเหตุสมผล แต่เท่าที่ผมคิดดูจะมีความเกี่ยวข้องเชิงจิตวิทยา ซึ่งผู้เขียนได้บอกว่า จากที่พบเห็นกระเป๋าสตางค์ของผู้มั่งคั่งทั้งหลาย ล้วนสอดคล้องกับกฏนี้ แต่ไม่สามารถอธิบายตามหลักเหตุผลได้อย่างชัดเจน  ซึ่งเท่าที่ผมวิเคราะห์ดูเอง(อ้างอิงจากหลักการของ Brian tracy ในหนังสือ ขายด้วยใจ) น่าจะเกี่ยวข้องกับระดับความคาดหวังสูงสุดต่อเงินรายได้ที่เพิ่มขึ้น อย่างเช่น ผู้ที่เชื่อว่าตนเองมีรายได้สูงสุดในชีวิต 30,000 แล้วพอใจ หากวันหนึ่งตัวเองมีรายได้มากกว่านั้นขึ้นมา จิตใต้สำนึกจะพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อกำจัดเงินส่วนเกินนั้นออกไปเช่น การออกไปช๊อปปิ้ง การใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือย หรืออื่นๆ เพื่อให้ระดับรายได้กลับมาอยู่ในจุดที่สบายใจ ซึ่งระดับรายได้คาดหวังสูงสุดของแต่ละคนจะไม่เท่ากัน และที่น่าแปลกคือเศรษฐีทั้งหลายต่างมีรายได้ที่คาดหวังในใจสูงมาก เป็นร้อยล้าน พันล้าน ซึ่งจากเหตุผลนี้สามารถอธิบายถึงเรื่องราวของสำนวนสามล้อถูกหวยได้ เช่นกัน
     ดังนั้น การที่เปลี่ยนกระเป๋าสตางค์ที่มีราคาสูงขึ้น น่าจะเกี่ยวข้องกับความคาดหวังต่อรายได้ระดับสูงขึ้นด้วยเช่นกัน เพราะกระเป๋าสตางค์เป็นสิ่งที่ไกล้ชิดกับเงินที่สุด และคนที่ยอมกัดฟันซื้อกระเป๋าสตางค์ราคาสูง น่าจะต้องใช้การตัดสินใจอย่างหนักแน่นอน 

3.คนหาเงินเก่งล้วนใช้กระเป๋าสตางค์ทรงยาว
     แนวคิดหลักๆของเรื่องนี้คือ การมองกระเป๋าสตางค์เป็นสถานที่ต้อนรับเงินของเรา ซึ่งถ้ามองแบบนั้น (ตามมุมมองของผู้เขียน) กระเป๋าสตางค์ที่เหมาะกับการต้อนรับเงินคือแบบทรงยาว เพราะมีรูปทรงที่ดีต่อเงินและธนบัตรเป็นพิเศษ  ซึ่งเวลาเราได้ธนบัตรใหม่มา กระเป๋าสตางค์ทรงยาวสามารถรักษารูปทรงให้คงสภาพไว้ได้ ไม่เป็นรอยพับ
     นอกจากนั้น ผู้ชายส่วนใหญ่ยังชอบใส่กระเป๋าสตางค์แบบพับไว้ในกระเป๋าหลังกางเกง แต่ถ้าใช้แบบทรงยาวจะใส่ข้างหลังไม่ได้ เพราะจะทำให้นั่งไม่ถนัด เพราะฉะนั้น เงินจึงไม่โดนนั่งทับ 
      ถ้าเปรียบให้เงินของเราเป็นแขกวีไอพี ที่ใครก็อยากต้อนรับ ให้เขาเข้าพักที่โรงแรมก็คงเข้าพักในโรงแรมระดับห้าดาวที่สะดวกสบาย 

4.กระเป๋าสตางค์ต้องห้าม
     กระเป๋าสตางค์แต่ละใบมีเอกลักษณ์ที่เรียกว่า "ทรงกระเป๋าสตางค์" แบบเดียวกับโครงหน้าหรือลายนิ้วมือของมนุษย์
     กระเป๋าสตางค์ที่เป็นลักษณะต้องห้ามสำหรับคนมั่งคั่งเลยนั่นก็คือ กระเป๋าที่มีด้ายหลุดลุ่ย ลวมเป่งเพราะสลิปหรือใบเสร็จต่างๆ สีหรือความเงาผิดเพี้ยนไปจากเดิม ซึ่งดูแล้วไม่มีพลังเรียกทรัพย์
     อีกเรื่องคือการใส่นามบัตรไว้ในกระเป๋าสตางค์ เป็นสิ่งต้องห้ามที่ชัดเจนที่สุด ซึ่งกระเป๋าสตางค์เป็นที่เกี่ยวข้องกับเงินโดยตรง สำหรับนามบัตร เรามีที่ใส่นามบัตร อยู่แล้ว การที่เรายื่นนามบัตรที่ปนคราบของธนบัตรให้ผู้อื่น ถือเป็นเรื่องเสียมารยาท ซึ่งคนที่ไม่ใส่ใจเรื่องนี้ จะไม่สามารถสร้างความสัมพันธ์อันดีในการทำธุรกิจได้
     กล่าวสรุปคือ เงินจะไม่เข้าไกล้กระเป๋าสตางค์ที่มีรูปทรงไม่ดี เช่นเดียวกับคนรอบข้างที่ไม่อยากเข้าไกล้คนที่ไม่ดูแลตัวเอง

5. ใส่เงินจำนวนมากในกระเป๋าสตางค์ที่ซื้อมาใหม่
     เมื่อซื้อกระเป๋าสตางค์ใบใหม่มา สิ่งที่ต้องทำเป็นอันดับแรกก่อนจะใช้งานเลยก็คือ "การให้กระเป๋าสตางค์ได้จดจำรสชาติของเงิน"
     พูดให้เข้าใจง่ายๆ คือเอาเงินก้อนโต (ในที่นี้ขอตีซักประมาณ 500,000 บาทจากต้นฉบับใช้คำว่า 1,000,000 เยน ) ใส่ไปในกระเป๋าสตางค์ก่อนเริ่มใช้งานประมาณ 3 วัน
     เหตุผลก็คือเงินย่อมรู้สึกสบายใจกับการที่ได้อยู่ในกระเป๋าที่ได้ใช้งานมาสักพักแล้ว มากกว่าอยู่ในกระเป๋าสตางค์ใหม่เอี่ยม เช่นเดียวกับกรณีอื่นเช่นรองเท้ากีฬา เท้าเราก็จะคุ้นเคยกับคู่ที่ใส่บ่อยและไม่ค่อยโดนกัด มากกว่ารองเท้าคู่ใหม่ที่ยังไม่เคยใส่เลย
     สำหรับเงิน กระเป๋าสตางคก็เหมือนกับบ้าน เงินจะเข้ากับกระเป๋าที่ผ่านการใช้งานมาบ้างได้ดีกว่ากระเป๋าสตางค์ใหม่เอี่ยม และถ้าคุณใส่เงินล่วงหน้าให้กระเป๋าสตางค์ใบนั้นคุ้นเคย คุณจะสามารถใช้กระเป๋าสตางค์ใบนั้นได้ถนัดมือจริงๆ  
     เทคนิคเล็กๆน้อยๆ ก็คือตอนที่เอาเงินใส่ไปแล้ว ให้กระซิบบอกกระเป๋าสตางค์เบาๆว่า "ความหนา กลิ่นและสัมผัสของเงิน 500,000 บาทเป็นแบบนี้นะ จำไว้ให้ดีๆล่ะ ! " 

6.หันหัวธนบัตรไปทางเดียวกัน
     ผู้เขียนหนังสือได้บอกไว้ว่า หลังจากที่เขาได้ทำตามวิธีใช้กระเป๋าสตางค์ของคนมั่งคั่งมาหลายคน ก็เริ่มจับสังเกตได้ว่า เงินนั้น รักความสะอาด ต้องไม่มีคราบรอยนิ้วมือ และธนบัตรกับบัตรต่างๆต้องถูกจัดเก็บอย่างเป็นระเบียบสวยงาม
     เทคนิคนี้กล่าวไว้ว่า ให้ใส่ธนบัตรโดยหันหัวของธนบัตรลง เพราะว่าการทำแบบนี้ช่วยให้ "ใส่ธนบัตรง่าย แต่หยิบยาก" ซึ่งก็มีเรื่องเล่าของความเชื่อนี้อยู่บ่อยๆ
     แต่อย่างไรก็ตาม ก็มีหลายๆคนกล่าวว่าให้เอาด้านหัวขึ้นนั้นดีกว่า ซึ่งก็ไม่ได้มีหลักการตายตัวอะไรจะใส่แบบไหนก็ได้เหมือนกัน สำคัญคือ ให้หันไปทางเดียวกันและเป็นระเบียบก็พอ

7.ชำระเงินด้วยธนบัตรใหม่
  
   "ขอโทษด้วยนะที่ใช้ธนบัตรเก่า"
   นี่คือคำพูดติดปากของคนมีตังค์

     ภรรยาของผู้เขียนนั้น อยู่ในธุรกิจบริการซึ่งได้พบเจอบรรดาคุณหญิง สุภาพสตรีหรือไฮโซทั้งหลายคำพูดติดปากของคนเหล่านั้นเวลาไม่มีธนบัตรใหม่คือ "ขอโทษด้วยที่ใช้แบงค์เก่า" ซึ่งทุกครั้งที่ภรรยาของผู้เขียนได้ยิน ต้องคิดว่าคนคนนั้นต้องเป็นเศรษฐีแน่ๆเลย
     มีเศรษฐีท่านนึงได้ให้เหตุผลของเรื่องนี้ไว้ว่า 

"ถ้าคิดว่าตัวเองเป็นฝ่ายรับเงิน เขาคงจะดีใจที่ได้รับธนบัตรใหม่มากกว่า"

     เวลาที่เขาได้รับธนบัตรใหม่ที่ไม่มีรอยยับจะรู้สึกดีใจมากกว่าได้รับธนบัตรที่มีรอยพับครึ่ง หรือธนบัตรที่ผ่านการใช้งานมาอย่างสมบุกสมบัน เปรียบได้กับความรู้สึกเวลาสอดแขนเข้าไปในเสื้อเชิ๊ตที่เพิ่งซักมาใหม่ๆและรีดจนเรียบกริบ
     ท่าทีที่มีต่อเงิน สะท้อนถึงท่าทีของคนๆนั้นที่มีต่อทุกสิ่งทุกอย่าง ซึ่งพวกคนมีตังค์มักจะใส่ใจคนอื่น ไม่ได้นึกถึงแค่เรื่องตัวเองแต่ยังนึกถึงผู้ที่เป็นฝ่ายรับเงินด้วย
     


     ทั้ง 7 ข้อข้างต้น ได้สรุปออกมาจากหนังสือ ซึ่งจริงๆแล้วยังมีรายละเอียดเชิงลึกอยู่อีกมาก หยิบออกมาเฉพาะในส่วนที่เข้าใจง่ายและสอดคล้องกับวิถีชีวิตคนไทยและนำไปปรับใช้ได้ง่ายๆ ซึ่งผมมองดูแล้วจะเป็นเรื่องของความพิถีพิถันในการใช้ชีวิตของชาวญี่ปุ่น และได้ใช้กระเป๋าสตางค์เป็นกุศโลบายในการฝึกให้ผู้คนมีความละเอียดรอบคอบ รักสะอาดและมีทัศนคติที่ดีต่อเรื่องเงินๆทองๆ ซึ่งผมเชื่อว่าหากนำไปปฏิบัติ ก็สามารถมีรายได้ที่มากขึ้นดังที่ผู้เขียนหนังสือได้กล่าวไว้อย่างแน่นอน เพราะเป็นการพัฒนาตัวเองรูปแบบหนึ่ง คนที่จะสามารถตรวจสอบกระเป๋าสตางค์ตัวเองทุกวันได้ ย่อมเป็นคนมีวินัยและมีความละเอียดละออ ซึ่งเป็นลักษณะของผู้สำเร็จในทุกๆสาขาอาชีพ


Sunday, June 1, 2014

8 วิธีเลือกคู่ชีวิตได้ดีที่สุด โดยไม่ต้องพึ่งหมอดู

" ไม่มีความสำเร็จนอกบ้านใด ชดเชยความล้มเหลวภายในบ้านได้ "



จากที่คุณบัณฑิต อึ๊งรังษี ได้ออกซีดีชุด "พกบัณฑิต ติดรถฟัง" ซึ่งหนึ่งในนั้น มีแผ่นที่ว่าด้วยความลับในการเลือกคู่รักให้ได้ดั่งใจ ผมฟังดูแล้ว มีหลายๆจุดที่มีความคล้ายคลึงกับกฏแห่งความสำเร็จซึ่งสามารถนำมาปรับใช้ได้จริงในเรื่องของชีวิตรัก ผมจึงขอนำ "เทคนิกการเลือกคู่ดั่งใจคิด" มาแบ่งปันไว้ตรงนี้แล้วกันครับ

แล้วการเลือกคู่สำคัญอย่างไร? ถ้าเลือกคู่ผิด จะส่งผลมหาศาลต่อความสุขและความสำเร็จในชีวิต เสมือนต้องเข็นครกขึ้นภูเขาตลอดเวลา เพราะมีคนที่ไม่ใช่มาคอยถ่วงความสำเร็จเราไว้ แต่ถ้าเลือกคู่ถูกต้อง ต่างช่วยส่งเสริมกันและกัน ก็จะเหมือนติดจรวดเร็วขึน 10 เท่าเลยทีเดียว ดังนั้น เรื่องแบบนี้ต้องมีการวางแผน ! เพราะขนาดจะสร้างตึกยังต้องมีพิมพ์เขียว คู่ชีวิตจะสุ่มสี่สุ่มห้าเลือกมาได้อย่างไร จริงมั้ยครับ :)

และต่อไปนี้ คือ 8 แนวทางของพิมพ์เขียวในการเสกคู่ให้ได้ดั่งใจคิดครับ

1.เริ่มจากการเป็นเพื่อนก่อน จะได้รู้จักตัวตนของเขามากขึ้น

ข้อดีของการเริ่มจากการเป็นเพื่อนคือ เราจะได้เห็นพื้นฐาน หรือธรรมชาติของคนที่เราสนใจอยู่จริงๆ ซึ่งนั่นก็คือตัวตนของเขาที่จะต้องใช้อยู่กับเราในอนาคตนั่นเอง ซึ่งหากเริ่มโดยการออกตัวว่ากำลังจีบกันอยู่ หรือแสดงความสนใจให้รู้แต่แรก แต่ละฝ่ายจะไม่ได้ทำตัวเป็นธรรมชาติ ต่างฝ่ายก็จะงัดร้อยแปดกลยุทธ์เพื่อจะให้ฝ่ายตรงข้ามสนใจ ซึ่งไม่ใช่ตัวตนจริงๆของเขาซะหน่อย และหากแต่งงานไปแล้วเพิ่งจะได้รู้จักนิสัยจริง อาจจะทำให้เกิดปัญหาในความสัมพันธ์ได้

2.กระบวนการคัดเลือกสำคัญที่สุด

เฉกเช่นเดียวกันกับการคัดเลือกคนเข้ามาทำงาน การสร้างสุดยอดทีม ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดคือการคัดเลือกคนเข้ามา เราต้องหาคนที่ใช่เข้ามาก่อนแล้วค่อยมาคัดเลือกจากคนที่ใช่เหล่านั้น เพื่อมาเทรนให้เก่ง ซึ่งการเลือกคู่ก็เหมือนกัน ตัวเราเป็นคนควบคุมโชคชะตาทั้งหมด เพราะฉะนั้นก่อนจะตกลงปลงใจกับใคร ต้องเลือกให้ดีก่อน !

3.เขียนลงไปว่าต้องการมีคู่แบบไหน

เอาแบบที่ใจเราต้องการได้จริงๆ เขียนลงไปในกระดาษไม่ว่าคนในอุดมคติของเราจะเป็นอย่างไร สูง ขาว หน้าหมวย รวย หรือ หล่อ ล่ำ การศึกษาดี ให้ระบุลงไปในกระดาษ และให้เราเก็บไว้เป็นความลับ อย่าไปบอกใคร เพราะถ้าเป้าหมายเราใหญ่มาก คนทั่วไปจะไม่เข้าใจและจะคอยดับฝันเรา ให้เราระบุแบบที่โดนใจและโฟกัสกับมัน ระบุทั้งสิ่งที่รับได้และรับไม่ได้ ฝั่งซ้ายของกระดาษ ใส่ไว้ว่าสิ่งไหนที่ต้องมีในตัวเขาคนนั้น (ถ้าไม่มี ไม่แต่งงานด้วย) ฝั่งขวาเป็นส่วนที่ มีก็ดี (ไม่มีก็ไม่เป็นไร) แต่เราก็ต้องฝึกที่จะมองสิ่งดีๆในตัวคนด้วย ที่นี้เราก็จะมีหลักคร่าวๆในการคัดเลือกคนเข้ามาแล้ว 

4.อย่ากำหนดหน้าตาคนที่ชอบ (เพราะเราอาจจะได้ดีกว่านั้นอีก)

อย่ากำหนดหน้าตา หรือรูปร่างภายนอกเพราะเราอาจจะได้ดีกว่านั้นอีก ! แต่ในบางครั้ง คนที่อกหักอาจตามืดบอด และมักพูดให้เห็นบ่อยๆว่า "ถ้าไม่ได้คนนี้เราต้องตายแน่ๆ" หรือ "เราหาได้ดีที่สุดแค่นี้"  แต่ถ้าเราอดทนและผ่านไปได้ ตั้งเป้าหมายให้ใหญ่ขึ้น ทำอย่างไรให้ได้ดีกว่านั้น นำเรื่องเก่าๆมาใช้เป็นแรงผลักดันให้เดินต่อไป คนใหม่ที่ดีกว่ารออยู่แน่นอน 
อีกประเด็นที่ไม่ควรกำหนดหน้าตาคือ จริงๆแล้วเราไม่ได้ต้องการคนๆใดคนหนึ่ง แต่เราต้องการความรู้สึกที่ถูกเติมเต็ม ซึ่งอาจจะเป็นหลายๆคนบนโลกนี้ที่ทำให้เรามีความรู้สึกแบบนั้นได้ จงอย่าตีกรอบให้ตัวเองมากเกินไป 

5.พัฒนาตัวเองจนเป็นคนที่คู่ควรกับคนที่เราต้องการ

หากเราตั้งเป้าว่าต้องการนางงามจักรวาล สวย บุคลิกดีในขณะที่ความจริงแล้วเรายังนั่งแช่ อ้วนพุงพลุ้ยอยู่หน้าโทรทัศน์ทุกวัน ฝันไปเถอะ ! ที่คนที่เราต้องการจะมาสนใจ 
เพราะฉะนั้นให้เริ่มจาก มองคนแบบที่เราต้องการแล้วให้สังเกตคนที่ได้คู่แบบนี้ว่าเค้าเป็นอย่างไร ทำอะไรบ้าง แล้วเราก็เริ่มพัฒนาตนเองให้เป็นแบบนั้นให้ได้ หรือไกล้เคียงที่สุด ซึ่งโดยปกติแล้วผู้ชายที่น่าดึงดูดให้คนอื่นเข้ามาหาจะดูมีเสน่ห์กว่าผู้ชายที่เที่ยวไล่จีบคนอื่น  อย่างเช่นถ้าเราตั้งเป้าไว้ว่า ผู้หญิงคนที่เราต้องการต้องฉลาด มารยาทดี และเป็นหมอ ฐานะปานกลางก็ได้ ซึ่งโดยทั่วไปแฟนหนุ่มของสาวแนวๆนี้ก็จะมีลักษณะที่คล้ายคลึงกัน เช่นสะอาด เป็นสุภาพบุรุษ การศึกษาดี มีฐานะ ถ้าเป็นแบบนี้ เราก็รู้แล้วนี่่ครับ ว่าเราต้องทำอะไรต่อ !

6.สร้างโอกาสให้ตัวเอง อยู่ในที่ๆคนที่เราต้องการเขาอยู่กัน

เราต้องรู้ก่อนว่าผู้หญิงแบบที่เราต้องการนั้น อยู่ในที่แบบไหน ถ้าเราได้ทำทุกข้อข้างต้นมาหมดแล้วแต่วันๆนั่งอยู่แต่ในห้อง จักรวาลคงช่วยเราได้ยากหน่อย เพราะเราไม่มีทางรู้หรอกว่าคนที่ใช่สำหรับเราจะมาในลักษณะไหน อาจจะไม่ได้เจอตามผับหรือการหาคู่ออนไลน์ อาจจะเป็นที่วัด ที่งานนิทรรศการ หรือจากแวดวงสังคมที่เราอยู่ จากการแนะนำของเพื่อนฝูง หากอยากได้คู่เป็นชาวต่างชาติก็คงต้องพาตัวไปอยู่ในที่ที่ห้อมล้อมไปด้วยชาวต่างชาตินั่นเอง  

7.อยู่ด้วยตัวเองให้มีความสุขก่อน ค่อยหาคนมาทำให้มีความสุขเพิ่ม

คงไม่ดีแน่ ถ้าเราต้องการคนอื่นเพื่อมาทำให้เรามีความสุข ถ้าเราไม่สามารถมีความสุขได้ จงอย่าเอาคนอื่นมาร่วมทุกข์จากเรา ไม่ใช่หน้าที่ใครที่จะมาทำให้เรามีความสุข มันไม่ควรจะเป็นภาระของใคร แต่เพลงรักต่างๆมักสื่อออกมาในแนวว่า ขาดเธอชั้นคงอยู่ไม่ได้ ถ้าแบบนั้นจริงก็ปล่อยให้เน่าตายไปเลยดีกว่าครับ  หลักการของการมีคู่คือคนที่มีความสุขสองคนมาอยู่ด้วยกันแล้วทำให้มีความสุขมากขึ้นกว่าเดิม เราทำตัวเองให้มีความสุขเสียก่อนแล้วแผ่รัศมีออกมาทำให้คนอื่นรู้สึกมีความสุขด้วย แบบนี้จึงจะเป็นความสุขที่แท้จริง


8.อย่าตกลงปลงใจจนกว่า หัวใจกับสมองของเราจะคิดตรงกัน

ก่อนจะตกลงกับใคร สเปคที่เขียนออกมาในกระดาษต้องใช่ และหัวใจเราก็รักเขา(และเขาก็รักเราเช่นกัน) ซึ่งในการที่คนสองคนจะเข้าคู่กันโดยสมบูรณ์แบบนี้ออกจะเป็นเรื่องปาฏิหาริย์มาก แต่ในความเป็นจริงแล้วสามารถทำได้ แต่ต้องอาศัยการเทรนจิตทุกวัน ซึ่งตามกฏแห่งแรงดึงดูดแล้ว ความคิดมีแรงดึงดูดมหาศาล และแตกต่างจากสิ่งที่เรียกว่าพรหมลิขิต เราเชื่อว่าทุกๆเรื่องเราเป็นผู้สร้างขึ้นมาเองทั้งนั้น ซึ่งสิ่งสำคัญคือ เราต้องชัดเจน ต้องรู้ใจตัวเองว่าอยากได้แบบไหน พอเราเจอ เราจะรู้ใจของเราเองว่าคนนี้แหละ มาถึงแล้ว เวลานั้นหัวใจของเราจะทำงานเองได้ดีเชียวแหละ 


รู้แบบนี้แล้ว ใครแถวนี้หลายๆคนคงจะมีความหวังมากขึ้นเรื่องคู่แน่นอน
หากชอบ ช่วยกันแชร์นะครับ